การดำนา
การปลูกข้าวของชาวนา มี 2 วิธี เป็นส่วนมาก คือ นาดำกับนาหว่าน คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรหรือกรมการข้าวแนะนำในการปลูกข้าว
นาหว่าน ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 15 – 20 กิโลกรัม ต่อ ไร่
นาดำ ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 5 กิโลกรัม ต่อ ไร่
แม้ว่าปัจจุบันจะทำนาดำกันน้อยมาก เนื่องจากขาดแคลนแรงงานยิ่งรัฐมีนโยบายประชานิยม ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทยิ่งหาแรงงานยากขึ้น แม้ว่าเกษตรกรจะมีเครื่องมือเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงาน แต่ชาวนาก็ยังนิยมทำนาหว่านกันมากกว่าการดำนาด้วยเครื่องจักรซึ่งชาวนาจะใช้กล้าอายุ 14 วันปลูกโดยใช้ต้นกล้าหลุมละ 2 ต้น (โดยใช้เครื่องจักรดำนา) แต่ถ้าใช้วิธีดำนาด้วยคน ชาวนาจะใช้กล้าอายุ 25 วันขึ้นไปและใช้ต้นกล้าหลุมละ 2-3 ต้น ซึ่งเป็นการเปลืองต้นกล้าเป็นจำนวนมาก และนอกจากจะเป็นการที่ปลูกข้าวหลายต้นรวมกันทำให้ต้นกล้าเบียดเสียดกันมาก ทำให้ข้าวแต่ละต้นจะไม่สามารถแสดงศักยภาพในการเจริญเติบโตของตัวเองได้
ด้วยหลักการและเหตุผล ดังกล่าวมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุรนารี โดยสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตรได้ร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงได้จัดทำโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ( ITAP : Industrial Technology Assistance Program ) เพื่อการเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็นการช่วยลดต้นทุนในการผลิตให้กับชาวนา โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นันทกร บุญเกิด ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เป็นผู้ทำการวิจัยเรื่องการปลูกข้าวต้นเดียวโดยใช้แหนแดงทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี (ปุ๋ยยูเรีย)
สาระสำคัญในการปลูกข้าวเพียงต้นเดียว
ควรปลูกให้มีระยะห่างกัน 1 ฟุต จากการปลูกในนาข้าวจริงๆ พบว่า ข้าวเพียง 1 ต้น จะสามารถแตกกอได้ถึง 30 – 40 ต้น ซึ่งใน 1 กอ ถ้าปักดำต้นกล้าหลายต้น จะมีผลต่อการแตกกอเพราะต้องแย่งพื้นที่ในการเติบโตของต้นข้าว
จากการวิจัยพบว่า ข้าวพันธุ์เหลืองประทิว สามารถจะแตกกอได้ถึง 40 ต้น
ข้าวพันธุ์ปทุมธานี จะแตกกอได้มากถึง 60 ต้น
ซึ่งถ้าปลูกแบบธรรมดาทั่วไปที่ชาวนาปักดำต้นกล้าจำนวน 2 - 3 ต้น ในระยะห่างระหว่างต้น 15 – 20 เซนติเมตร จะแตกกอเพียง 6 - 10 ต้นเท่านั้น เพราะต้นข้าวจะเบียดเสียดกันแย่งอาหารกันเลยแตกกอได้น้อย การปลูกข้าวต้นเดียวจะใช้ปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้างเพียง 1 - 2 กิโลกรัม/ไร่ ทำให้ช่วยลดต้นทุนของชาวนาลงได้ถึง 1,500 บาท/ไร่
ข้าวที่ปลูกเพียงต้นเดียวสามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ตามศักยภาพของมัน ทำให้ได้ผลผลิตสูงกว่านาดำปกติ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เคยได้ผลผลิต 594 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 1,348 กิโลกรัมต่อไร่ ภาคอีสานต้องปรับปรุงดินใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ และใช้แหนแดงเป็นตัวเสริมถึงจะได้ผลผลิตในปริมาณดังกล่าว ทำให้สามารถลดปัญหาเรื่องเมล็ดข้าวลีบจะลดลง เหลือแค่ประมาณ 5% เท่านั้น
ผลดีอื่นๆ เมื่อมีข้าวดีด ข้าวเด้ง ข้าวปนจะถอนทิ้งได้ง่าย เพราะมองเห็นลักษณะต้นข้าวมันจะไม่เหมือนกันเห็นได้อย่างชัดเจน การเก็บเกี่ยวข้าวก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าปกติ 10 - 14 วัน และหัวใจสำคัญการใช้น้ำ วิธีการปลูกข้าวต้นเดียวจะได้ระดับน้ำเหนือโคนต้นข้าวเพียงแค่ 2 - 5 เซนติเมตร จากเมื่อก่อนเคยใช้น้ำลึกมากเกินความจำเป็น
การปลูกข้าวเพียงต้นเดียว อาจจะฝืนความรู้สึกเก่าๆ ที่ชาวนาคุ้นเคยกัน เนื่องจากทำกันมานานมากแล้วสำหรับชาวนาดำนาด้วยต้นข้าว 2 - 3 ต้น แต่ผลการวิจัยและทดลองแล้วได้ผลและปลูกจริงให้เห็นตามผลผลิตและปริมาณตามที่แสดงในตารางเปรียบเทียบ
การปลูกข้าวต้นเดียวต้องมีการเพาะกล้าและเตรียมแปลง ใช้กระบะพลาสติกที่มีรูขนาดเล็ก ใส่ขี้เถ้าแกลบรดน้ำให้เปียกชื้นในตัวแล้วเกลี่ยหน้าให้เรียบ (เราสามารถเพาะในแปลงนา ทำเป็นแปลง ขนาดเล็กๆ ก็ได้) โรยเมล็ดพันธุ์ข้าวที่แช่น้ำ 12 ชั่วโมง และห่อผ้า 1 - 2 คืนจนเมล็ดเริ่มมีรากงอก (ทำเช่นเดียวกับการแช่เมล็ดสำหรับต้นกล้า) โรยเมล็ดข้าวให้สม่ำเสมอ แล้วโรยขี้เถ้าแกลบกลบเมล็ดข้าวบางๆ หนาสัก 1 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่ม นำกระบะกล้าวางไว้ในที่ร่ม เช่น ในโรงเรือนเพาะชำ หรือวางไว้ใต้ชายคา หรือที่มีลมพัดผ่านได้ (ไม่วางในที่อับชื้น) เมื่อต้นกล้าอายุ 5 วัน ให้นำออกผึ่งแดด และเมื่ออายุ 8 วันสามารถนำไปปลูกในแปลงนาได้ ไม่ควรให้ต้นกล้ามีอายุเกิน 15 วันเพราะมีผลต่อการแตกกอของต้นข้าว เพราะต้นกล้ามีรากยาวมากเกินไป การเพาะกล้าด้วยวิธีดังกล่าวจะทำให้ถอนต้นกล้าไปปลูกได้ง่าย คือต้นกล้าไม่ช้ำสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก คือยกไปทั้งกระบะและนำไปวางไว้ใกล้ๆ กับแปลงปลูก ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการถอนและการเคลื่อนย้าย ถ้าใช้วิธีเพาะกล้าในแปลงนาให้หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวบางๆ วิธีดังกล่าวนี้ จะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวปลูก 1 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่
วิธีการเตรียมแปลงปลูกข้าวต้นเดียว ให้ปล่อยน้ำเข้าแปลงนาทิ้งไว้ 1 คืน หว่านปุ๋ยอิทรีย์ชีวภาพตามปริมาณที่ต้องการ (ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน) ใช้รถไถเดินตามตีดินให้เป็นโคลน ให้ระดับน้ำมีความลึก 3 – 5 เซนติเมตร แล้วหว่านแหนแดงที่เพาะเลี้ยงไว้แล้วให้ทั่วทั้งแปลง ใช้แหนแดง 1 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ ทิ้งไว้ 7 - 10 วัน เมื่อแหนแดงโตเต็มพื้นที่ ให้ใช้คราดหรือทำการไถกลบแหนแดงในแปลงปลูก อาจทำด้วยท่อ (PVC ) ลากขนานไปกับคันนาให้เป็นเส้นตรง โดยปลายท่อจะถูกกดและกรีดลงดินเป็นแนวยาวครั้งละ 4 แถว ระยะห่างแถวละ 30 เซนติเมตร ลากแถวในแนวเดียวกันให้เต็มพื้นที่ทั้งแปลงนา จากนั้นก็ลากแถวในแนวตั้งฉากกันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นำกล้าข้าวที่เตรียมไว้ปลูกตรงรอยตัดของสี่เหลี่ยมโดยใช้นิ้วกรีดดินในแนวราบลึกไม่เกิน 1 เซนติเมตร ให้ต้นข้าวที่ปลูกตั้งฉากกับแนวรากเป็นรูปตัวแอล “L” (L-shape) หลังจากปักดำ 1 – 2 วันให้ปล่อยน้ำเข้าแปลงนาในระดับน้ำลึก 2 เซนติเมตร เพื่อเป็นการป้องกันวัชพืชและเพิ่มการกระจายตัวของแหนแดง และหว่านแหนแดงเพิ่มเติมในแปลงนาแล้วปล่อยน้ำเข้าแปลงนา ไม่ควรให้สูงเกิน 5 เซนติเมตร หว่านปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ครั้งที่สอง เมื่อต้นข้าวอายุได้ 30 วัน
ประโยชน์ของแหนแดง
ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของต้นข้าว
ต้นแหนแดงมีธาตุไนโตรเจนสูงมาก เพราะมันสามารถดึงไนโตรเจนในอากาศมาเก็บไว้ที่ใบ
มีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยพืชสดและปุ๋ยชีวภาพ
แหนแดงช่วยไม่ให้อุณหภูมิน้ำในนาข้าวสูงเกินไป
ช่วยไม่ให้หอยเชอร์รี่กินต้นข้าว เพราะมันกินแหนแดงแทน
เมื่อต้นข้าวโต แหนแดงจะตายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์อย่างดีให้ต้นข้าว
แหนแดงมีเปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักแห้งมี ไนโตรเจน 3.71%
ฟอสฟอรัส 0.55%
โพแทสเซียม 1.25%
แหนแดงทานเป็นผักสดช่วยให้ผิวพรรณสดใสมีน้ำมีนวลดูแล้วเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ ช่วยลดความชราก่อนวัยอันสมควร
แหนแดงมีคุณค่าทางอาหารสูง
ควรปลูกแหนแดงที่ระดับน้ำมีความลึก 10 เซนติเมตร เลี้ยงไว้สัก 30 วัน เพราะแหนแดงโตเร็วมาก จะโต 2 – 3 เท่าทุกๆ 2 – 3 วัน จะมีน้ำหนักรวม 5 - 10 ตัน/ไร่
คนไทย ชาวนาไทยก็ทำได้ ถ้าจะทำ ข้าว 1.5 ตัน/ไร่ ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญของมวลประเทศในภูมิภาคอาเซียน
ประเทศไทย ครองตลาดข้าวด้วยความเป็นอันดับ 1 มายาวนาน ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณการส่งออกข้าว
ระยะหลังมีความผันผวนทางการเมือง, ตามนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ เพื่อช่วยเหลือชาวนาทั้งประเทศที่ปลายน้ำโดยชูนโยบายประชานิยม เพื่อนบ้านคอยหาโอกาสเชือดเฉือนไปแค่ปลายจมูกในปี 2556 ประเทศเวียดนามตั้งเป้าจะส่งออกข้าว 7.6 ล้านตัน
ประเทศไทยไม่ได้หยุดนิ่ง ยิ่งในช่วงของการก้าวย่างของการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่เป็นแม่งานในการส่งเสริมการผลิตเกษตรโดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันหลายๆ หน่วยงาน เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรต่างระดมบุคลากรลงมาช่วยลุยในเรื่องข้าวกันคนละไม้คนละมือ เริ่มจาก
คุณ พรรณพิมล ชัญญานุวัตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร รีบจัดกิจกรรมกระตุ้นการเกษตรทั้งประเทศ โดยจัดการประกวดผลผลิตข้าวนาปี ปีการผลิต 2555/2556 จำนวน 55 จังหวัด เกษตรกรร่วมส่งผลงานเข้าประกวดรวมทั้งสิ้น 505 แปลง สรุปผลโดยกรรมการได้ลงตรวจพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 เป็นที่น่ายินดีคือเกษตรกรในจังหวัดอุบลราชธานีก็ได้รับรางวัลในการประกวดผลผลิตข้าวนาปีในครั้งนี้ คือ นาย ทวี ประสานพันธ์ จังหวัดอุบลราชธานีได้ผลผลิตข้าว 1,323.25 กิโลกรัม/ไร่ แม้ว่าจะได้รางวัลเป็นอันดับที่ 3 แต่ก็น่าภาคภูมิใจ เพราะเป็นจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพียงจังหวัดเดียวที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีพื้นที่ระบบชลประทาน ไม่ถึงร้อยละสิบของพื้นที่ทั้งประเทศ นอกนั้นเป็นจังหวัดในภาคกลาง ที่ทำผลผลิตได้ถึง 1,520.31 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ชลประทานค่อนข้างจะสมบูรณ์สามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้งหรือสองปี สามารถทำนาได้ถึง 5 ครั้ง
ชาวนาไทยทำได้ 1.5 ตัน/ไร่ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี คุณ พรรณพิมล ชัญญานุวัตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร จัดให้มีการประกวดผลผลิตข้าวนาปี ฤดูกาลผลิต 2555/2556
ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว 1 กันยายน 2555 – 15 พฤศจิกายน 2555
ผลการลงพื้นที่ตรวจสอบความเป็นไปได้ในแปลงประกวด ประเภทผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงที่สุด
อันดับ 1 นางบุญสม ขาวบริสุทธิ์ จ.สุพรรณบุรี
ได้ผลผลิต เฉลี่ย 1,520.31 กก./ไร่
หักลบต้นทุน เหลือกำไรสุทธิแล้ว 12,801 บาท/ไร่
อันดับ 2 นายถนอม ยังเจริญ จ.สมุทรปราการ
ได้ผลผลิต เฉลี่ย 1,346.87 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,024 บาท/ไร่
อันดับ 3 นายทวี ประสานพันธ์ จ.อุบลราชธานี
ได้ผลผลิต 1,323.25 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,431 บาท/ไร่
ประเภทต้นทุนการผลิตเฉลี่ย กิโลกรัมต่ำสุด
อันดับ 1 นาย กำพล ทองโสภา จ.สุพรรณบุรี
ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2.71 บาท/กก. ได้ผลผลิต 1,314 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,199 บาท/ไร่
อันดับ 2 นาย ธำรง ทัศนา จ.ราชบุรี
ต้นทุนเฉลี่ย 3.01 บาท/กก. ได้ผลผลิต 1,161.87 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 11,317 บาท/ไร่
อันดับ 3 นาย ถนอม ยังเจริญ จ.สมุทรปราการ
ต้นทุนผลิตเฉลี่ย 3.08 บาท/กก. ได้ผลผลิตเฉลี่ย 1,346.87 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,024 บาท/ไร่
โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตข้าวด้วยการใช้น้ำหมักชีวภาพ + ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทน การใช้ปุ๋ยเคมีแต่ได้ผลผลิตสูง เพื่อเป็นต้นแบบในการส่งเสริมและให้พี่น้องเกษตรกรปฏิบัติตาม
แสดงตารางเปรียบเทียบอัตราการเติบโตผลผลิตข้าวต้นเดียว
ดัชนีเปรียบเทียบการเติบโตและผลผลิตข้าว
(ข้าวที่ทำการทดลอง ข้าวเจ้าหอมนิล)
วิธีการปลูกปกติ
ปลูกแบบทดลองข้าวต้นเดียว (มทส.)
อายุกล้า (วัน)
30
10
อายุเก็บเกี่ยว (วัน) หลังจากเมล็ดงอก
145
135
ระยะปลูก (เซนติเมตร)
20 x20
30x30
จำนวนรวงต่อกอ
11
27
ความสูงระยะเก็บเกี่ยว (เซนติเมตร)
120
165
จำนวนเมล็ดต่อรวง
210.7
301.5
เปอร์เซ็นต์ เมล็ด (กรัม)
14.13
46.40
น้ำหนัก 1,000 เมล็ด (กรัม)
22.75
29.70
ผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม)
594
1,348
นาหว่าน ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 15 – 20 กิโลกรัม ต่อ ไร่
นาดำ ให้ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว 5 กิโลกรัม ต่อ ไร่
แม้ว่าปัจจุบันจะทำนาดำกันน้อยมาก เนื่องจากขาดแคลนแรงงานยิ่งรัฐมีนโยบายประชานิยม ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทยิ่งหาแรงงานยากขึ้น แม้ว่าเกษตรกรจะมีเครื่องมือเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงาน แต่ชาวนาก็ยังนิยมทำนาหว่านกันมากกว่าการดำนาด้วยเครื่องจักรซึ่งชาวนาจะใช้กล้าอายุ 14 วันปลูกโดยใช้ต้นกล้าหลุมละ 2 ต้น (โดยใช้เครื่องจักรดำนา) แต่ถ้าใช้วิธีดำนาด้วยคน ชาวนาจะใช้กล้าอายุ 25 วันขึ้นไปและใช้ต้นกล้าหลุมละ 2-3 ต้น ซึ่งเป็นการเปลืองต้นกล้าเป็นจำนวนมาก และนอกจากจะเป็นการที่ปลูกข้าวหลายต้นรวมกันทำให้ต้นกล้าเบียดเสียดกันมาก ทำให้ข้าวแต่ละต้นจะไม่สามารถแสดงศักยภาพในการเจริญเติบโตของตัวเองได้
ด้วยหลักการและเหตุผล ดังกล่าวมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีสุรนารี โดยสำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตรได้ร่วมมือกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงได้จัดทำโครงการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีของอุตสาหกรรมไทย ( ITAP : Industrial Technology Assistance Program ) เพื่อการเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็นการช่วยลดต้นทุนในการผลิตให้กับชาวนา โดยมีศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นันทกร บุญเกิด ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เป็นผู้ทำการวิจัยเรื่องการปลูกข้าวต้นเดียวโดยใช้แหนแดงทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี (ปุ๋ยยูเรีย)
สาระสำคัญในการปลูกข้าวเพียงต้นเดียว
ควรปลูกให้มีระยะห่างกัน 1 ฟุต จากการปลูกในนาข้าวจริงๆ พบว่า ข้าวเพียง 1 ต้น จะสามารถแตกกอได้ถึง 30 – 40 ต้น ซึ่งใน 1 กอ ถ้าปักดำต้นกล้าหลายต้น จะมีผลต่อการแตกกอเพราะต้องแย่งพื้นที่ในการเติบโตของต้นข้าว
จากการวิจัยพบว่า ข้าวพันธุ์เหลืองประทิว สามารถจะแตกกอได้ถึง 40 ต้น
ข้าวพันธุ์ปทุมธานี จะแตกกอได้มากถึง 60 ต้น
ซึ่งถ้าปลูกแบบธรรมดาทั่วไปที่ชาวนาปักดำต้นกล้าจำนวน 2 - 3 ต้น ในระยะห่างระหว่างต้น 15 – 20 เซนติเมตร จะแตกกอเพียง 6 - 10 ต้นเท่านั้น เพราะต้นข้าวจะเบียดเสียดกันแย่งอาหารกันเลยแตกกอได้น้อย การปลูกข้าวต้นเดียวจะใช้ปริมาณเมล็ดพันธุ์ข้างเพียง 1 - 2 กิโลกรัม/ไร่ ทำให้ช่วยลดต้นทุนของชาวนาลงได้ถึง 1,500 บาท/ไร่
ข้าวที่ปลูกเพียงต้นเดียวสามารถเจริญเติบโตได้เต็มที่ตามศักยภาพของมัน ทำให้ได้ผลผลิตสูงกว่านาดำปกติ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เคยได้ผลผลิต 594 กิโลกรัมต่อไร่ เป็น 1,348 กิโลกรัมต่อไร่ ภาคอีสานต้องปรับปรุงดินใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ น้ำหมักชีวภาพ และใช้แหนแดงเป็นตัวเสริมถึงจะได้ผลผลิตในปริมาณดังกล่าว ทำให้สามารถลดปัญหาเรื่องเมล็ดข้าวลีบจะลดลง เหลือแค่ประมาณ 5% เท่านั้น
ผลดีอื่นๆ เมื่อมีข้าวดีด ข้าวเด้ง ข้าวปนจะถอนทิ้งได้ง่าย เพราะมองเห็นลักษณะต้นข้าวมันจะไม่เหมือนกันเห็นได้อย่างชัดเจน การเก็บเกี่ยวข้าวก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่าปกติ 10 - 14 วัน และหัวใจสำคัญการใช้น้ำ วิธีการปลูกข้าวต้นเดียวจะได้ระดับน้ำเหนือโคนต้นข้าวเพียงแค่ 2 - 5 เซนติเมตร จากเมื่อก่อนเคยใช้น้ำลึกมากเกินความจำเป็น
การปลูกข้าวเพียงต้นเดียว อาจจะฝืนความรู้สึกเก่าๆ ที่ชาวนาคุ้นเคยกัน เนื่องจากทำกันมานานมากแล้วสำหรับชาวนาดำนาด้วยต้นข้าว 2 - 3 ต้น แต่ผลการวิจัยและทดลองแล้วได้ผลและปลูกจริงให้เห็นตามผลผลิตและปริมาณตามที่แสดงในตารางเปรียบเทียบ
การปลูกข้าวต้นเดียวต้องมีการเพาะกล้าและเตรียมแปลง ใช้กระบะพลาสติกที่มีรูขนาดเล็ก ใส่ขี้เถ้าแกลบรดน้ำให้เปียกชื้นในตัวแล้วเกลี่ยหน้าให้เรียบ (เราสามารถเพาะในแปลงนา ทำเป็นแปลง ขนาดเล็กๆ ก็ได้) โรยเมล็ดพันธุ์ข้าวที่แช่น้ำ 12 ชั่วโมง และห่อผ้า 1 - 2 คืนจนเมล็ดเริ่มมีรากงอก (ทำเช่นเดียวกับการแช่เมล็ดสำหรับต้นกล้า) โรยเมล็ดข้าวให้สม่ำเสมอ แล้วโรยขี้เถ้าแกลบกลบเมล็ดข้าวบางๆ หนาสัก 1 เซนติเมตร รดน้ำให้ชุ่ม นำกระบะกล้าวางไว้ในที่ร่ม เช่น ในโรงเรือนเพาะชำ หรือวางไว้ใต้ชายคา หรือที่มีลมพัดผ่านได้ (ไม่วางในที่อับชื้น) เมื่อต้นกล้าอายุ 5 วัน ให้นำออกผึ่งแดด และเมื่ออายุ 8 วันสามารถนำไปปลูกในแปลงนาได้ ไม่ควรให้ต้นกล้ามีอายุเกิน 15 วันเพราะมีผลต่อการแตกกอของต้นข้าว เพราะต้นกล้ามีรากยาวมากเกินไป การเพาะกล้าด้วยวิธีดังกล่าวจะทำให้ถอนต้นกล้าไปปลูกได้ง่าย คือต้นกล้าไม่ช้ำสามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก คือยกไปทั้งกระบะและนำไปวางไว้ใกล้ๆ กับแปลงปลูก ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการถอนและการเคลื่อนย้าย ถ้าใช้วิธีเพาะกล้าในแปลงนาให้หว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวบางๆ วิธีดังกล่าวนี้ จะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวปลูก 1 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่
วิธีการเตรียมแปลงปลูกข้าวต้นเดียว ให้ปล่อยน้ำเข้าแปลงนาทิ้งไว้ 1 คืน หว่านปุ๋ยอิทรีย์ชีวภาพตามปริมาณที่ต้องการ (ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน) ใช้รถไถเดินตามตีดินให้เป็นโคลน ให้ระดับน้ำมีความลึก 3 – 5 เซนติเมตร แล้วหว่านแหนแดงที่เพาะเลี้ยงไว้แล้วให้ทั่วทั้งแปลง ใช้แหนแดง 1 กิโลกรัมต่อ 1 ไร่ ทิ้งไว้ 7 - 10 วัน เมื่อแหนแดงโตเต็มพื้นที่ ให้ใช้คราดหรือทำการไถกลบแหนแดงในแปลงปลูก อาจทำด้วยท่อ (PVC ) ลากขนานไปกับคันนาให้เป็นเส้นตรง โดยปลายท่อจะถูกกดและกรีดลงดินเป็นแนวยาวครั้งละ 4 แถว ระยะห่างแถวละ 30 เซนติเมตร ลากแถวในแนวเดียวกันให้เต็มพื้นที่ทั้งแปลงนา จากนั้นก็ลากแถวในแนวตั้งฉากกันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นำกล้าข้าวที่เตรียมไว้ปลูกตรงรอยตัดของสี่เหลี่ยมโดยใช้นิ้วกรีดดินในแนวราบลึกไม่เกิน 1 เซนติเมตร ให้ต้นข้าวที่ปลูกตั้งฉากกับแนวรากเป็นรูปตัวแอล “L” (L-shape) หลังจากปักดำ 1 – 2 วันให้ปล่อยน้ำเข้าแปลงนาในระดับน้ำลึก 2 เซนติเมตร เพื่อเป็นการป้องกันวัชพืชและเพิ่มการกระจายตัวของแหนแดง และหว่านแหนแดงเพิ่มเติมในแปลงนาแล้วปล่อยน้ำเข้าแปลงนา ไม่ควรให้สูงเกิน 5 เซนติเมตร หว่านปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ ครั้งที่สอง เมื่อต้นข้าวอายุได้ 30 วัน
ประโยชน์ของแหนแดง
ช่วยเสริมการเจริญเติบโตของต้นข้าว
ต้นแหนแดงมีธาตุไนโตรเจนสูงมาก เพราะมันสามารถดึงไนโตรเจนในอากาศมาเก็บไว้ที่ใบ
มีคุณสมบัติเป็นทั้งปุ๋ยพืชสดและปุ๋ยชีวภาพ
แหนแดงช่วยไม่ให้อุณหภูมิน้ำในนาข้าวสูงเกินไป
ช่วยไม่ให้หอยเชอร์รี่กินต้นข้าว เพราะมันกินแหนแดงแทน
เมื่อต้นข้าวโต แหนแดงจะตายกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์อย่างดีให้ต้นข้าว
แหนแดงมีเปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักแห้งมี ไนโตรเจน 3.71%
ฟอสฟอรัส 0.55%
โพแทสเซียม 1.25%
แหนแดงทานเป็นผักสดช่วยให้ผิวพรรณสดใสมีน้ำมีนวลดูแล้วเป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ ช่วยลดความชราก่อนวัยอันสมควร
แหนแดงมีคุณค่าทางอาหารสูง
ควรปลูกแหนแดงที่ระดับน้ำมีความลึก 10 เซนติเมตร เลี้ยงไว้สัก 30 วัน เพราะแหนแดงโตเร็วมาก จะโต 2 – 3 เท่าทุกๆ 2 – 3 วัน จะมีน้ำหนักรวม 5 - 10 ตัน/ไร่
คนไทย ชาวนาไทยก็ทำได้ ถ้าจะทำ ข้าว 1.5 ตัน/ไร่ ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญของมวลประเทศในภูมิภาคอาเซียน
ประเทศไทย ครองตลาดข้าวด้วยความเป็นอันดับ 1 มายาวนาน ทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณการส่งออกข้าว
ระยะหลังมีความผันผวนทางการเมือง, ตามนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ เพื่อช่วยเหลือชาวนาทั้งประเทศที่ปลายน้ำโดยชูนโยบายประชานิยม เพื่อนบ้านคอยหาโอกาสเชือดเฉือนไปแค่ปลายจมูกในปี 2556 ประเทศเวียดนามตั้งเป้าจะส่งออกข้าว 7.6 ล้านตัน
ประเทศไทยไม่ได้หยุดนิ่ง ยิ่งในช่วงของการก้าวย่างของการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำหน้าที่เป็นแม่งานในการส่งเสริมการผลิตเกษตรโดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันหลายๆ หน่วยงาน เช่น กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรต่างระดมบุคลากรลงมาช่วยลุยในเรื่องข้าวกันคนละไม้คนละมือ เริ่มจาก
คุณ พรรณพิมล ชัญญานุวัตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร รีบจัดกิจกรรมกระตุ้นการเกษตรทั้งประเทศ โดยจัดการประกวดผลผลิตข้าวนาปี ปีการผลิต 2555/2556 จำนวน 55 จังหวัด เกษตรกรร่วมส่งผลงานเข้าประกวดรวมทั้งสิ้น 505 แปลง สรุปผลโดยกรรมการได้ลงตรวจพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตตั้งแต่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 เป็นที่น่ายินดีคือเกษตรกรในจังหวัดอุบลราชธานีก็ได้รับรางวัลในการประกวดผลผลิตข้าวนาปีในครั้งนี้ คือ นาย ทวี ประสานพันธ์ จังหวัดอุบลราชธานีได้ผลผลิตข้าว 1,323.25 กิโลกรัม/ไร่ แม้ว่าจะได้รางวัลเป็นอันดับที่ 3 แต่ก็น่าภาคภูมิใจ เพราะเป็นจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพียงจังหวัดเดียวที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ แม้ว่าจะมีพื้นที่ระบบชลประทาน ไม่ถึงร้อยละสิบของพื้นที่ทั้งประเทศ นอกนั้นเป็นจังหวัดในภาคกลาง ที่ทำผลผลิตได้ถึง 1,520.31 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ชลประทานค่อนข้างจะสมบูรณ์สามารถทำนาได้ปีละ 2 ครั้งหรือสองปี สามารถทำนาได้ถึง 5 ครั้ง
ชาวนาไทยทำได้ 1.5 ตัน/ไร่ โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมี คุณ พรรณพิมล ชัญญานุวัตร อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร จัดให้มีการประกวดผลผลิตข้าวนาปี ฤดูกาลผลิต 2555/2556
ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว 1 กันยายน 2555 – 15 พฤศจิกายน 2555
ผลการลงพื้นที่ตรวจสอบความเป็นไปได้ในแปลงประกวด ประเภทผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่สูงที่สุด
อันดับ 1 นางบุญสม ขาวบริสุทธิ์ จ.สุพรรณบุรี
ได้ผลผลิต เฉลี่ย 1,520.31 กก./ไร่
หักลบต้นทุน เหลือกำไรสุทธิแล้ว 12,801 บาท/ไร่
อันดับ 2 นายถนอม ยังเจริญ จ.สมุทรปราการ
ได้ผลผลิต เฉลี่ย 1,346.87 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,024 บาท/ไร่
อันดับ 3 นายทวี ประสานพันธ์ จ.อุบลราชธานี
ได้ผลผลิต 1,323.25 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,431 บาท/ไร่
ประเภทต้นทุนการผลิตเฉลี่ย กิโลกรัมต่ำสุด
อันดับ 1 นาย กำพล ทองโสภา จ.สุพรรณบุรี
ต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 2.71 บาท/กก. ได้ผลผลิต 1,314 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,199 บาท/ไร่
อันดับ 2 นาย ธำรง ทัศนา จ.ราชบุรี
ต้นทุนเฉลี่ย 3.01 บาท/กก. ได้ผลผลิต 1,161.87 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 11,317 บาท/ไร่
อันดับ 3 นาย ถนอม ยังเจริญ จ.สมุทรปราการ
ต้นทุนผลิตเฉลี่ย 3.08 บาท/กก. ได้ผลผลิตเฉลี่ย 1,346.87 กก./ไร่
ได้กำไรสุทธิ 13,024 บาท/ไร่
โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตข้าวด้วยการใช้น้ำหมักชีวภาพ + ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทน การใช้ปุ๋ยเคมีแต่ได้ผลผลิตสูง เพื่อเป็นต้นแบบในการส่งเสริมและให้พี่น้องเกษตรกรปฏิบัติตาม
แสดงตารางเปรียบเทียบอัตราการเติบโตผลผลิตข้าวต้นเดียว
ดัชนีเปรียบเทียบการเติบโตและผลผลิตข้าว
(ข้าวที่ทำการทดลอง ข้าวเจ้าหอมนิล)
วิธีการปลูกปกติ
ปลูกแบบทดลองข้าวต้นเดียว (มทส.)
อายุกล้า (วัน)
30
10
อายุเก็บเกี่ยว (วัน) หลังจากเมล็ดงอก
145
135
ระยะปลูก (เซนติเมตร)
20 x20
30x30
จำนวนรวงต่อกอ
11
27
ความสูงระยะเก็บเกี่ยว (เซนติเมตร)
120
165
จำนวนเมล็ดต่อรวง
210.7
301.5
เปอร์เซ็นต์ เมล็ด (กรัม)
14.13
46.40
น้ำหนัก 1,000 เมล็ด (กรัม)
22.75
29.70
ผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม)
594
1,348